Mr.Hygienics 002-130521
Fri Jul 13, 2018 11:24 am
Mr.Hygienics 002-130521
ระบบปรับอากาศและระบายอากาศในห้องแยกผู้ป่วยติดเชื้อ (Isolation Room)
การออกแบบระบบปรับอากาศและระบายอากาศในห้องผู้ป่วยติดเชื้อมีหลักสำคัญที่ควรจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งดังต่อไปนี้
1.ออกแบบระบบปรับอากาศให้เป็น Fresh air 100% ไม่ควรนำอากาศในห้องมาใช้หมุนเวียนถึงแม้ว่าจะมีการนำไปฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV และผ่าน HEPA FILTER แล้วก็ตาม เนื่องจากอาจจะมีเชื้อโรคจากผู้ป่วยเล็ดลอดหลงเหลืออยู่ซึ่งอาจแพร่เชื้อสู่บุคคลากรทางการแพทย์ หรือ ญาติผู้ป่วยที่ต้องเข้าไปภายในห้องผู้ป่วยติดเชื้อได้
2.ออกแบบให้ทิศทางการไหลของอากาศให้ไหลผ่านผู้ป่วยเป็นคนสุดท้ายก่อนจะระบายอากาศออกสู่ภายนอก ซึ่งจะทำให้เชื้อโรคไม่สามารถไหลมาสู่บุคคลากรทางการแพทย์ หรือ ญาติผู้ป่วยที่ต้องเข้าไปภายในห้องผู้ป่วยติดเชื้อ
3.ออกแบบให้ความดันภายในห้องเป็นลบเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากผู้ป่วยแพร่กระจายออกสู่ภายนอกห้อง โดยควรระบายอากาศออกจากห้องตลอดเวลา และ ให้อากาศที่จะระบายออกผ่าน Exhaust box ที่ภายในมีหลอด UV สำหรับฆ่าเชื้อโรค และ HEPA FILTER กรองอากาศและเชื้อโรค ก่อนปล่อยสู่ภายนอก โดยให้ปล่อยออกในบริเวณที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตและอากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อเจือจางเชื้อโรค
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงข้อปลีกย่อยอื่นๆอีก เช่น ควรมี Anti Room ที่ควบคุมความดันภายในห้องให้สูงกว่าห้องผู้ป่วยติดเชื้อ, ตำแหน่งประตูทางเข้า-ออก อยู่ในทิศทางที่ไม่ต้องผ่านผู้ป่วย รวมถึงทิศทางการเปิด-ปิดประตู และสิ่งสำคัญที่ผู้ออกแบบระบบส่วนใหญ่ไม่สนใจคือ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานซ่อมบำรุงระบบที่อาจติดเชื้อในขณะเปลี่ยน หรือทำความสะอาด Filter โดยให้มีอุปกรณ์ป้องกันการไหลกลับของอากาศในขณะปิดระบบทำความเย็น และ อาจจะต้องตัดสินใจใช้ HEPA FILTER แบบ BAG IN/ BAG OUT ที่มีราคาแพงสักหน่อยแต่ปลอดภัยและป้องกันการแพร่เชื้อโรคได้ในขณะถอดเปลี่ยน เพื่อป้องกันผู้ปฎิบัติงาน
และ หากต้องการระบบที่สมบูรณ์แบบควรมีการควบคุมความชื้นของอากาศภายในห้องผู้ป่วยติดเชื้อ เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคภายในห้อง
ระบบปรับอากาศและระบายอากาศในห้องแยกผู้ป่วยติดเชื้อ (Isolation Room)
การออกแบบระบบปรับอากาศและระบายอากาศในห้องผู้ป่วยติดเชื้อมีหลักสำคัญที่ควรจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งดังต่อไปนี้
1.ออกแบบระบบปรับอากาศให้เป็น Fresh air 100% ไม่ควรนำอากาศในห้องมาใช้หมุนเวียนถึงแม้ว่าจะมีการนำไปฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV และผ่าน HEPA FILTER แล้วก็ตาม เนื่องจากอาจจะมีเชื้อโรคจากผู้ป่วยเล็ดลอดหลงเหลืออยู่ซึ่งอาจแพร่เชื้อสู่บุคคลากรทางการแพทย์ หรือ ญาติผู้ป่วยที่ต้องเข้าไปภายในห้องผู้ป่วยติดเชื้อได้
2.ออกแบบให้ทิศทางการไหลของอากาศให้ไหลผ่านผู้ป่วยเป็นคนสุดท้ายก่อนจะระบายอากาศออกสู่ภายนอก ซึ่งจะทำให้เชื้อโรคไม่สามารถไหลมาสู่บุคคลากรทางการแพทย์ หรือ ญาติผู้ป่วยที่ต้องเข้าไปภายในห้องผู้ป่วยติดเชื้อ
3.ออกแบบให้ความดันภายในห้องเป็นลบเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากผู้ป่วยแพร่กระจายออกสู่ภายนอกห้อง โดยควรระบายอากาศออกจากห้องตลอดเวลา และ ให้อากาศที่จะระบายออกผ่าน Exhaust box ที่ภายในมีหลอด UV สำหรับฆ่าเชื้อโรค และ HEPA FILTER กรองอากาศและเชื้อโรค ก่อนปล่อยสู่ภายนอก โดยให้ปล่อยออกในบริเวณที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตและอากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อเจือจางเชื้อโรค
นอกจากนี้ยังต้องคำนึงข้อปลีกย่อยอื่นๆอีก เช่น ควรมี Anti Room ที่ควบคุมความดันภายในห้องให้สูงกว่าห้องผู้ป่วยติดเชื้อ, ตำแหน่งประตูทางเข้า-ออก อยู่ในทิศทางที่ไม่ต้องผ่านผู้ป่วย รวมถึงทิศทางการเปิด-ปิดประตู และสิ่งสำคัญที่ผู้ออกแบบระบบส่วนใหญ่ไม่สนใจคือ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานซ่อมบำรุงระบบที่อาจติดเชื้อในขณะเปลี่ยน หรือทำความสะอาด Filter โดยให้มีอุปกรณ์ป้องกันการไหลกลับของอากาศในขณะปิดระบบทำความเย็น และ อาจจะต้องตัดสินใจใช้ HEPA FILTER แบบ BAG IN/ BAG OUT ที่มีราคาแพงสักหน่อยแต่ปลอดภัยและป้องกันการแพร่เชื้อโรคได้ในขณะถอดเปลี่ยน เพื่อป้องกันผู้ปฎิบัติงาน
และ หากต้องการระบบที่สมบูรณ์แบบควรมีการควบคุมความชื้นของอากาศภายในห้องผู้ป่วยติดเชื้อ เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคภายในห้อง
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|